Money Machine |
ถ้าพูดถึงเงิน 20,000 บาท สำหรับใครบางคนก็คงไม่มากนัก แต่กับใครบางคนก็ไม่ง่ายเลยที่จะหามาได้... เรากำลังพูดถึง รายได้จำนวน 20,000 บาทต่อเดือน คิดเป็นปี ก็ปีละ 240,000 บาท ...ด้วยเงินจำนวนเท่านี้ จริงๆ แล้วถ้าไม่ได้ใช้อะไรมากมาย ก็คงจะเพียงพอ กับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ของบางคน หรือบางครอบครัว อย่างสบายๆ
ผมจึงมีความคิดอย่างหนึ่งว่า ถ้าเราสามารถได้เงินจำนวนนี้ มาจากเงินปันผลในหุ้น (แน่นอนล่ะ มันต้องหัก ภาษี 10% ด้วย..เอาน่าอย่างเพิ่งไปคิดให้ปวดหัว)
หลักการ ก็คือว่า ถ้าเราวางเงินเก็บเย็นๆ ของเราไว้ในหุ้นของบริษัทฯ ที่มั่นคง ให้ผลตอบแทนค่อนข้างสูง สามารถจ่ายปันผลให้เราได้อย่างต่อเนื่อง ได้ 20,000 บาท ทุกๆ เดือน หรือ ก็คือ 240,000 บาทต่อปี โดยที่เราไม่ต้องไปคอยดูราคา ซื้อๆ ขายๆ มันทุกวัน ... (... จริงดิ.. ได้อย่างนั้น ก็ เจ๋งสิ.... แล้ว มันจะเป็นไปได้ไหม... )
สมมุติว่า เรามองหา ปันผล 6% ต่อปี เป็น เงิน 240,000 บาท ก็หมายความว่า เราต้องใช้ เงินต้น 4 ล้าน ในการลงทุนซื้อหุ้น และถือไว้นิ่งๆ ...แต่บริษัทฯ ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่มีบริษัทฯ ไหนจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้น ทุกเดือนแน่นอน จะมี ก็จ่ายปันผล ปีละ 1 ครั้ง หรือ ปีละ 2 ครั้ง หรือ ถ้าผลประกอบการดีจัด ก็อาจจะแถมให้อีกครั้ง เป็น 3 ครั้ง .. เราจึงต้องกระจายซื้อหุ้นบริษัทฯ หลายแห่ง เพื่อที่จะได้ ปันผลทุกเดือน หรือ ทุกๆ สองเดือน และยังเป็นการกระจายความเสี่ยงจาก Cycle ของกิจการต่างๆ ด้วย ..
บริษัทฯ ที่สามารถให้ผลตอบแทนได้สูง มากกว่า 8% ต่อปี อย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 5 ปี ที่ผ่านมา ในตลาดหุ้นตอนนี้มันช่างน้อยเหลือเกิน แต่ถ้าขยายวงออกไปให้เป็น มากกว่า 6% ย้อนหลังแค่ 3 ปีที่ผ่านมา ก็พอจะมีให้เลือกมากหน่อย
แน่นอนว่า ในการเลือกลงทุน เราก็คงจะต้องเลือก บริษัทฯ ที่มีความมั่งคง มีผลประกอบการที่ดีด้วย และมีราคาหุ้น ที่ไม่สูงเกินกว่า มูลค่าที่แท้จริง มากจนเกินไป.. เพื่อที่จะได้เด้งที่สอง จากการเติบโตของมูลค่าหุ้นในอนาคต.. (อ่ะนะ ... หลักการดี ใครก็คิดได้ ทำยังไง ล่ะ...)
ก็ต้องทำการคัดตัวหุ้น เข้ารอบกันล่ะ โดยใช้ ค่า P/E , P/Bv, ROE, D/E ratio เหล่านี้ ต้องถูกนำมาพิจารณาประกอบการเลือก...ในแง่ของปัจจัยพื้นฐานของกิจการในช่วงที่ผ่านมา
และอีกสิ่งที่จะต้องพิจารณาด้วยก็คือ ผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจรอบโลกกลมๆ ใบนี้ ซึ่งมีเกิดขึ้นให้เห็นเพิ่มขึ้นทุกวันๆ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติการเงินในสหรัฐ วิกฤติหนี้ของกลุ่มประเทศยุโรป และยังต้องคอยติดตาม นโยบายของรัฐที่จะออกมาในอนาคตด้วย ...
Criteria หรือ เงื่อนไขในการคัดกรองหุ้นของบริษัทฯ ที่มีพื้นฐานดี นั้นก็มีตำรา บทวิเคราะห์ มากมายให้ค้นหากัน .. ใครจะใช้เงื่อนไขยังไงแบบไหน ก็ตามความเสี่ยงที่จะรับได้ หรือจะตามความชอบส่วนตัวก็แล้วแต่นะครับ เพราะนักลงทุนบางคน เขาไม่ลงทุนในกลุ่มบริษัทฯ ที่เขาไม่ถนัด ถึงแม้มันจะดีกว่าแค่ไหนก็ตาม เมื่อเราเลือกหุ้นเข้ามาใน Focus Group ของเราได้แล้ว
จากนั้นให้คะแนนด้านพื้นฐาน กับหุ้นของบริษัทฯ เหล่านั้น จาก 1-10 คะแนน โดยที่หุ้นที่ปัจจัย พื้นฐานน่าสนใจที่สุดตาม เงื่อนไขของเราที่ตั้งไว้ เช่น เราใช้ P/E , P/Bv, D/E และข้อมูลในการดำเนินกิจการในอนาคต เป็นตัวชี้วัดคะแนน 4 อย่าง ก็อย่างละ 10 คะแนน แล้วก็ทำ Criteria Score Card ขึ้นมาให้กับ ตัวชี้วัดทั้ง 4 ได้คะแนนเฉลี่ยออกมาเท่าไหร่ ก็ บันทึก ไว้ .
เราทำการให้คะแนนด้านพื้นฐานไปแล้ว ต่อไปก็ต้องมาให้คะแนน ด้านเทคนิค กันบ้างล่ะ แนะนำให้ใช้ Weekly Chart มาดูปัจจัยด้านเทคนิค เพื่อดูว่าหน้าตากราฟในภาพใหญ่ๆ มีรูปแบบกราฟของหุ้นเป็นยังไง บ้าง ดูน่าสนใจมากมาน้อยแค่ไหน...แล้วเราก็จะให้คะแนน ด้านเทคนิค จาก 1-10 คะแนน เช่นกัน
ด้วยภาพทางเทคนิคในภาพใหญ่ หุ้นที่มีหน้าตาที่พร้อมวิ่งขึ้นได้อย่างแข็งแรงในตอนนี้ หรือในอนาคต ให้ 9-10 คะแนน
หุ้นที่พักตัว หรือ sideway แต่มีแนวโน้มจะขึ้นได้ เพียงรอ Signal ก็ให้คะแนน 6-8
ส่วนหุ้นที่หลับ หรือออกข้างแคบๆ ก็อาจจะให้คะแนน 4-5 คะแนน
และหุ้นที่ออกอาการไหลลง ก็คงจะให้คะแนนน้อยกว่า 4 ไปตามลำดับความเลวร้าย
จากนั้น เราก็นำคะแนนพื้นฐาน และ คะแนนเทคนิค ก็มา Plot Metrix
ให้ Fundamental Score เป็นแกน X และ Technical Score เป็น แกน Y
ก็จะได้ หุ้น พื้นฐานดี 4 กลุ่ม ดังภาพ
ส่วนนักลงทุนแต่ละคนชอบหุ้นแบบไหน จะกระจายความเสี่ยงยังไง ก็จัดการไปตามความชอบและความต้องการของแต่ละคน เพราะอย่างไร หุ้นที่เราคัดมานั้นก็ล้วน เป็นหุ้นที่ ให้ปันผล มากกว่า 6% ต่อปีตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ทั้งสิ้น ก็ ลองดูเป็น ไอเดีย ในการใช้ทุนที่มี วางลงไปให้ถูกที่ถูกทาง ...
ขอบคุณ พี่ปุย(Wave Rider) แห่งสำนัก S2M ,,,